“โฮจิมินห์” หรือนครไซง่อนแห่งเวียดนาม เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยถูกปกครองโดยฝรั่งเศส ทำให้เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายจากฝรั่งเศสจากอดีตจวบจนปัจจุบัน เมืองแห่งนี้จึงมีเสน่ห์ และสวยงาม น่าค้นหา และน่าเที่ยวเป็นอย่างมาก

00-Review-Cover-Facebook-And-FeaturePix

“โฮจิมินห์”  จากอดีตสู่ปัจจุบัน เที่ยวไปกับนกแอร์ Somewhere In Time

ต้นเดือนตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา นกแอร์ ได้ทำการเปิดเที่ยวบินตรงจากดอนเมืองไปสู่นครโฮจิมินห์ พร้อมกันนั้น Travel Planet Xpereinces ได้รับเชิญจากนกแอร์ให้ร่วมทริป Somewhere In Time ไปเที่ยว ชมสถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมอันงดงามของนครแห่งนี้ นครที่ได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศสในสมัยที่ฝรั่งเศสได้มาปกครองเมือง “โฮจิมินห์” ที่ถึงแม้ปัจจุบันไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศเวียดนามแต่กลับเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์และมีความเจริญมากที่สุดในเวียดนาม พร้อมกันแล้วออกเดินทางไปพร้อมๆกันเลยครับ

 


มุ่งหน้าสู่ “โฮจิมินห์” ด้วยสายการบินนกแอร์

ปัจจุบันจนถึงเดือนพฤศิจกายน 2558 นกแอร์มีเที่ยวบินบินตรงสู่นครโฮจิมินห์ทั้งสิ้น สัปดาห์ละ  5 วัน 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และตั้งแต่เดือนธันวาคม 2558 เป็นต้นไปนั้น นกแอร์จะให้บริการเที่ยวบินเส้นทาง ดอนเมือง-โฮจิมินห์ ถึงวันละ 2 เที่ยวบินทั้งช่วงเช้าและค่ำ เรียกได้ว่าเป็นเวลาที่สวยมากๆ เพราะสามารถบินไปแต่เช้าและกลับค่ำได้เที่ยวแบบเต็มๆวันเลยทีเดียวครับ แต่ใครไปช่วงก่อนธันวาคม อย่าลืมเช็ครอบบินดีๆนะครับ http://nokair.com/content/en/destinations/Ho-Chi-Minh.aspx

01-Screen Shot 2558-10-24 at 3.54.56 PM

สำหรับทริป Somewhere In Time นั้นเราเดินทางกันวันศุกร์ไฟลท์ DD3210 ออกเดินทางจากท่าอากาศยานดอนเมืองในเวลา 7:35 ครับ ซึ่งเราก็ต้องมาถึงตั้งแต่ 5:30 หรือราวๆ 2 ชั่วโมงก่อนบินเหมือนการบินแบบ International ทั่วไปครับ สำหรับการบินไปต่างประเทศกับนกแอร์นั้นสิ่งที่ดีงามคือ จะสามารถโหลดสัมภาระได้ถึง 30 กก. ฟรี! โดยไม่ต้องซื้อน้ำหนักเพิ่มแต่อย่างใด สามารถเลือกที่นั่ง และมีอาหารให้ทานด้วยครับ

02-HoChiMinh-001 03-HoChiMinh-00604-IMG_5353

 


อุปกรณ์การถ่ายภาพที่ใช้ในทริปนี้

สำหรับทริปนี้เป็นทริปนี้ผมก็เอาอุปกรณ์จัดเต็มไปครับ เพราะทริปนี้มีรถพาไปเที่ยวจุดต่างๆอยู่แล้ว แล้วตอนเที่ยวผมก็เอาเลือกเอาอุปกรณ์ลงไป ตามความเหมาะสมของแต่ละที่เอาครับ อุปกรณ์ที่ใช้มีดังนี้ครับ

– Canon EOS 5D-III
– EF 16-35 f/2.8l II
– EF 24-70 f/2.8l II
– EF 70-200 f/4l II is

05

ปล. ขอบคุณพี่หยี น้ำฟ้าป่าเขา สำหรับภาพนี้คร้าบบบบ

 


การติดต่อสื่อสารและอินเตอร์เนต

สำหรับการเดินทางนั้นใช้เวลาเดินทางประมาณ 1:30 ชม. ก็จะเดินทางมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ต ที่นครโฮจิมินห์ เวียดนาม ซึ่งที่เวียดนามนั้นเวลาจะเท่ากับเมืองไทยครับ แต่ด้วยความที่ประเทศเขาอยู่ทางตะวันออกของบ้านเรา ดังนั้นที่นี่พระอาทิตย์จะขึ้นและตกเร็วกว่าบ้านเราประมาณ ครึ่งชั่วโมงครับ

05-HoChiMinh-008

สำหรับสกุลเงินนั้นที่เวียดนามจะใช้เงินสกุล ดง หรือ ดอง หรือ ด่อง (แล้วแต่จะออกเสียงครับ) ซึ่งอัตรา ณ วันที่ผมไปผมแลกเงินจาก Grand Super Rich ไปอยู่ที่ 1000 ดง : 1.62 บาทครับ แต่อีกวิธีหนึ่งที่จะได้เรทที่ค่อนข้างดีคือให้เราแลกเป็นเงิน US มาแล้วค่อยนำมาแลกเป็นเงินดงที่เวียดนามอีกครั้งครับ

ส่วนเรื่องการติดต่อสื่อสารนั้นที่บริเวณทางออกสนามบินจะมีเค้าท์เตอร์ขายซิม สามารถมาเลือกซื้อได้ครับ ซึ่งที่ผมไปเวียดนามครั้งนี้ผมใช้ซิมของ Mobifone ครับราคาประมาณ 200,000 ดง หรือประมาณ​ 320 บาทครับ ซึ่งปกติแล้วเวลาได้ซิมมามือถือเราจะเป็นโปรมาตรฐานนะครับ ซึ่งมันจะคิดเงินตามการใช้งานซึ่งแพงครับ ดังนั้นเมื่อเปิดเบอร์แล้วให้เราส่ง SMS เพื่อสมัครโปรโมชั่นตามที่ต้องการครับ ซึ่งสามารถดูโปรโมชั่นได้จากที่นี่เลยครับ โปรโมชั่น Mobifone

05-HoChiMinh-013

 


Hotel Pullman Saigon Centre – ที่สุดแห่งความสะดวกสบายในการเดินทาง

สำหรับทริป Somewhere in Time นี้นกแอร์จัดให้ผมได้พักที่โรงแรม Hotel Pullman Saigon Centre ซึ่งนอกจากจะเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวแล้ว ยังอยู่ในทำเลที่ดีทีเดียวครับใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวในเขต 1 ผมได้ทำรีวิวสั้นๆไว้ที่นี่แล้วครับ สามารถไปอ่านกันได้ครับ Hotel Pullman Saigon Centre @ Ho Chi Minh, VIETNAM

00-Review-Cover-Facebook-And-FeaturePix

ซึ่งหากเพื่อนๆสนใจจะจองโรงแรมนี้ก็สามารถตรวจสอบราคาได้ที่นี่เลยครับ

Agoda.com – โรงแรมพูลแมน ไซง่อน เซ็นเตอร์

Expedia.co.th – โรงแรมพูลแมน ไซง่อน เซ็นเตอร์
    Voucher Code ลด 10% สำหรับ Expedia.co.th
KBANKEXPHOTEL4

    KTCEXP10
    KTCEXP1502

 


 

เดินชมกลิ่นอายแห่งสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส เฟร้นช์โคโลเนียลที่เขต 1 ศูนย์กลางนคร “โฮจิมินห์”

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในโฮจิมินห์นั้น ส่วนมากแล้วจะอยู่ในเขตกลางเมืองหรือเรียกกันว่าเขต 1 (โฮจิมินห์ มีการแบ่งโซนเมืองเป็นเขตต่างๆเหมือนมหานครปารีสครับ) ซึ่งแต่ละจุดล้วนเดินถึงกันได้หมด โดยแต่ละที่ห่างกันไม่เกิน 500 เมตร ซึ่งถ้าเราใช้วิธีเดินเที่ยวทั้งวัน ก็เดินเพียง 5-6 กิโลเมตรเท่านั้นเองครับ

06-Map-2

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆพร้อมพิกัดผม List ไว้ให้ตรงนี้เลยครับ เพื่อนๆจะได้เอาไปใช้กันง่ายๆครับ

ซึ่งอาคารที่เป็นสมัยเก่าส่วนมากจะถูกออกแบบและสร้างขึ้นมาในช่วงที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครอง เราจึงเรียกอาคารเหล่านี้ว่า เฟร้นช์โคโลเนียล คำว่าโคโลเนียล หมายถึงการนำสถาปัตยกรรมของตัวเอง(ฝรั่งเศส)ไปสร้างในดินแดนอาณานิคม ซึ่งบางครั้งเราอาจจะเรียกว่าสถาปัตยกรรมอาณานิคมก็ได้ครับ


โบสถ์นอร์ทเธอดาม : Saigon Notre-Dame Cathedral

ที่แรกที่ผมมาเดินเล่นคือ มหาวิหารนอร์ทเธอดาม ซึ่งที่นี่เป็นหนึ่งในโบสถ์ที่เป็น Cathedral หรือโบสถ์ที่มีอาร์คบิชอฟ ผู้ซึ่งมีฐานะที่มีสิทธิ์จะถูกเลือกเป็นโป๊ป (ผู้นำสูงสุดได้ในอนาคตของคริสตจักร โรมันคาทอลิก) ในอนาคตได้นั่นเอง มหาวิหารนอร์ทเธอดาม เป็นโบสถ์ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1877 หรือเกือบ 140 ปีที่แล้วใช้เวลาสร้างนานถึง 6 ปีว่ากันว่าวัสดุที่ใช้สร้างมหาวิหารแห่งนี้นำเข้าจากฝรั่งเศสทั้งหมด ตัวโบสถ์ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์นีโอโรมัน

07-HoChiMinh-068 08-HoChiMinh-044 09-HoChiMinh-051

มหาวิหารนอร์ทเธอดามเปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถเดินเข้าไปชมภายในได้ถึง 11 โมง แต่ก็ไม่ได้เปิดให้เข้าไปนั่ง หรือ ประกอบพิธีใดๆ เหมือนโบสถ์ในยุโรปครับ ซึ่งจุดเด่นของโบสถ์นี้คือหอคอยคู่ที่สูงกว่า 40 เมตร แต่การตกแต่งภายในด้วย Stained glass ซึ่งปกติจะเป็นจุดเด่นของโบสถ์นั้น ที่มหาวิหารแห่งนี้มีไม่มากครับ เนื่องจากได้รับความเสียหายครั้งเกิดสงครามนั่นเองครับ

10-HoChiMinh-020 11-HoChiMinh-027

 


ที่ทำการไปรษณีย์กลางแห่งนครโฮจิมินห์ (General Post Office)

ฝั่งตรงข้ามกับมหาวิหารนอร์ทเธอดามก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ยังคงกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส หรือเฟร้นช์โคโลเนียล นั่นก็คือที่ทำการไปรษณีย์กลางแห่งนครโฮจิมินห์ (General Post Office) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบกอธิค ซึ่งหนึ่งในสามผู้ออกแบบอาคารแห่งนี้คือ Gustaf Eiffel  ซึ่งเป็นผู้ออกแบบหอคอยไอเฟลในมหานครปารีสนั่นเอง

12-HoChiMinh-058 13-HoChiMinh-061

 


โรงละครยาฮดแถงห์โฝ (Saigon Opera House)

เดินต่อมาไม่ไกลก็เจอกับอาคารอีกแห่งหนึ่งที่แสดงถึงความเป็นฝรั่งเศสได้เป็นอย่างดีนั่นคือโรงละครหรือ Opera House ครับในสมัยก่อนที่มีชาวฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเมือง บุคคลเหล่านั้นก็หาความบันเทิงจากการเข้ามาชมละครที่โรงละครโอเปร่านี่ล่ะครับ ที่นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่สามารถมาถ่ายภาพตอนกลางคืนได้อย่างงามเลยครับ บริเวณนี้ปัจจุบันกำลังมีการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินโดยความร่วมมือระหว่างเวียดนามและญี่ปุ่นครับ อีกไม่นานนครโฮจิมินห์ก็จะมีรถไฟฟ้าไว้ใช้กันล่ะครับ

13-HoChiMinh-075 14-HoChiMinh-083 15-HoChiMinh-539

 


 

ศาลาว่าการเมือง (Ho Chi Minh City Hall) / สภาประชาชน (People’s Commottee Building)

เดินจาก Opera House มาไม่ไกลแค่ 200 เมตรเราก็จะมาเจอกับอีกหนึ่งอาคารที่เป็นอาคารแบบเฟร้นช์โคโลเนียลคือ ศาลาว่าการเมือง หรือสภาประชาชน ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปี 1902 จนกระทั่งหลังเวียดนามได้รับเอกราชแล้ว ต่อมาในปี 1975 ที่นี่ได้ถูกเปลี่ยนเป็นสภาประชาชน ซึ่งก็มาจากอิทธิพลจากการปกครองในรูปแบบคอมมิวนิสต์นั่นเอง (เราจะพบสภาประชาชนหลายแห่งในเมืองจีนที่ปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์เช่นกันครับ)

16-HoChiMinh-074 17-HoChiMinh-095 18-HoChiMinh-324

ด้านหน้าของของสภาประชาชนนี้จะเป็น จตุรัสโฮจิมินห์ ซึ่งมีรูปปั้นของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์อยู่ และที่จตุรัสแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของชาวเมือง เวลามีจัดงานจัดกิจกรรมก็จะมีผู้คนมารวมตัวกันที่นี่ ช่วงกลางวันก็จะมีนักท่องเที่ยวและคู่แต่งงานมาเดินถ่ายรูป ​Pre-Wedding กัน ส่วนกลางคืนจะเป็นช่วงเวลาที่หนุ่มสาวชาวเหงียนออกมาเดินเล่นชิวๆกันครับ

19-HoChiMinh-311 20-HoChiMinh-314 21-HoChiMinh-544 22-HoChiMinh-546

 


 

Saigon Skydesk @ Bitexco Financial Tower

สุดปลายจตุรัสจะมีตึกๆหนึ่งซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดในโฮจิมินห์ที่พึ่งเปิดเมื่อปี 2010 ที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันใกล้ๆกันมีการสร้างตึก Landmark 81 ซึ่งมีกำหนดเสร็จในปี 2017 และหลังเปิดใช้ตึกนั้นจะกลายเป็นตึกที่สูงที่สุดในนครโฮจิมินห์แทนตึกนี้ครับ ตึก Bitexco สูง 68 ชั้น แต่ Saigon Skydesk จุดที่สามารถชมวิวได้จะอยู่ที่ชั้น 49 ซึ่งอยู่ใต้ลานจอดเฮลิคอปเตอร์

23-HoChiMinh-747 24-HoChiMinh-706

ตึกนี้ค่าขึ้นอยู่ที่ 200,000 ดงครับ ที่จุดชมวิวสามารถใช้ขาตั้งกล้องได้ซึ่งจากตึกสามารถถ่ายไปฝั่งเมืองช่วงพระอาทิตย์ตกได้สวยงามเลยครับ

25-HoChiMinh-730 26-HoChiMinh-729 27-HoChiMinh-711

 

ที่ฝั่งตรงข้ามตึกนี้จะมีร้านขนมปังที่ไม่ควรพลาดคือร้าน Nhu Lan ครับจะเป็นขนมปังสไตล์ฝรั่งเศสหรือ “บาแก็ต” (Baguette) ซึ่งจะเป็นขนมปังแบบแข็งๆครับ ซึ่งถ้ามากินเล่นๆก็ถือว่าอร่อยใช้ได้เลยครับ แต่สำหรับผมให้กินทุกวันนี่ขอบาย เพราะผิวขนมปังจะแข็งและแห้งบาดเหงือกเอาเรื่องเลย 5555

28-HoChiMinh-737 29-HoChiMinh-745

 


ตลาดเบนถั่น (Ben Thanh) ศูนย์กลางการค้าขายของชาวโฮจิมินห์

จุดสุดท้ายของอาคารที่ถูกสร้างในช่วงฝรั่งเศสเข้ามาปกครองที่ผมได้มาเดินเที่ยวในครั้งนี้ก็คือ ตลาดเบนถั่น ตลาดแห่งนี้เคยเป็นแหล่งซื้อขายที่ใหญ่ที่สุดในนครโฮจิมินห์ สร้างมาตั้งแต่ปี 1870  ด้านหน้าตลาดจะเป็นวงเวียนโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นอีกจุดที่รถแล่นไปมาหนาแน่นมาก ใครมาข้ามถนนที่นี่ต้องจิตแข็ง และระมัดระวังประมาณหนึ่งเลยครับ ปกติแล้วการข้ามถนนที่เวียดนาม ถ้าอยู่ในจุดข้ามแล้วให้เราเดินข้ามไปเลย รถที่แล่นไปมาบนถนนจะขับหลบเราเอง อย่าไปยึกๆยักๆกลางถนน เพราะถ้าทำอย่างนั้นคนเวียดนามเขาจะงง และเราอาจจะถูกชนได้ครับ

30-HoChiMinh-656 30-HoChiMinh-704

 

ส่วนตัวแล้วผมว่าที่นี่มาเดินเที่ยวก็อารมณ์เราไปหาดใหญ่แล้วไปเดินเล่นที่ตลาดกิมหยงครับ ซึ่งของที่เป็นที่นิยมในการมาช้อปปิ้งที่นี่จะเป็นพวกสิ่งทอ อาทิ เสื้อผ้า รองเท้า เป้ และพวกของแกะสลักงานไม้ต่างๆครับ ภายในตลาดร้านเยอะมาก บางจุดอาจจะคับแคบต้องระวังเรื่องมิจฉาชีพซักนิดครับ

31-HoChiMinh-695 32-HoChiMinh-692 33-HoChiMinh-696 34-HoChiMinh-690

 


อาหารเวียดนาม 3 ร้าน 3 สไตล์

ไหนๆก็มาเที่ยวที่เวียดนามทั้งทีถ้าจะไม่กินอาหารเวียดนามคงผิดมิใช่น้อย นกแอร์เลยจัดให้ผมได้กินอาหารเวียดนาม 3 ร้าน 3 สไตล์กันเลยครับ ทั้งอาหารเวียดนามสามัญชน อาหารเวียดนามดั้งเดิม และอาหารเวียดนามแบบฟิวชั่นครับ มีอะไรที่ไหนลองไปดูกันครับ

 

An Vietnamese Bistro – อาหารเวียดนามสไตล์ดั้งเดิม

สำหรับร้านอาหาร AN Vietnamese Bistro นั้นตั้งอยู่ติดกับจตุรัสโฮจิมินห์เลยครับ ที่พิกัด 10.774401, 106.704187  ซึ่งเห็นว่าเป็นร้านอาหารก็จริงแต่ราคาถือว่าโอเคสำหรับค่าครองชีพของคนไทยเลยครับ ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 100,000 – 160,000 ดงหรือตกจานละ 150-200 บาทเท่านั้นครับ ซึ่งผมว่าถูกกว่าร้านอาหารในไทยหลายๆร้านด้วยซ้ำไป ตัวร้านก็ตกแต่งสวยงามดูดีมีเอกลักษณ์ดีครับ

35-HoChiMinh-097

มาดูอาหารกันบ้างครับ จัดเต็มมากๆเลยทีเดียว 5555 ตัวที่เค้าว่ามันเด็ดคือหอยครับ ผมจำไม่ได้ว่าหอยอะไร แต่เค้าจะเอาตัวหอยออกมาปรุงรสกับหมู แล้วยัดกลับเข้าไปเป็นหอยยัดไส้ ทางร้านเขาบอกว่าอาหารเมนูนี้สมัยก่อนเป็นเมนูของชนชั้นสูงเท่านั้นครับ ส่วนอาหารอย่างอื่นๆก็อร่อยรสชาติดีทีเดียว อาหารเวียดนามที่ผมชอบอย่างหนึ่งคือ ผัก ทุกจานจะมีผักมาแกล้มให้เราห่อกับอาหาร ถึงว่าซิดูคนบ้านเค้าดูหุ่นดีกันทั้งนั้น 5555

36-HoChiMinh-118 37-HoChiMinh-134

 

ร้านกวานบุ่ย (Quan Bui) – อาหารเวียดนามสไตล์ฟิวชั่น

ร้านที่สองที่ นกแอร์ จัดให้มาลองทานกันดูคือ ร้านกวานบุ่ย ซึ่งเป็นร้านอาหารเวียดนามสไตล์ฟิวชั่นครับ ร้านนี้จะอยู่ไกลออกจากกลางเมืองไปนิดหนึ่งครับ แต่ก็ไม่ได้ไกลมาก พิกัดนี้เลยครับ 10.781289, 106.705922  ประมาณ 500 เมตรจากโรงละครโอเปร่าเฮ้าส์ (แต่นั่งรถไปจะค่อนข้างนานเพราะรถติดครับ) ช่วงที่ไปที่นี่ฝนตกครับ เลยไม่ได้ถ่ายรูปร้านภายนอกมา ภายในร้านพื้นที่ไม่กว้างมากเท่าไหร่ วันที่ไปเจ้าของร้านที่เป็นชาวฝรั่งเศสออกมาคุยด้วยครับ

38-HoChiMinh-276

อาหารที่ออกมาเสิร์ฟถ้าไม่บอกนี่แทบจะดูไม่ออกเลยว่าเป็นอาหารเวียดนาม เพราะมันฟิวชั่นมว๊ากกก อาทิ ยำส้มโอกุ้ง ปูนิ่มทอดราดซอสเสาวรส  ที่ดูว่าจะเป็นอาหารเวียดนามชัดหน่อยก็ปอเปี๊ยะทอดครับ

39-HoChiMinh-280

 

ร้าน Nha Hang Ngon- อาหารเวียดนามแบบปัจจุบัน

ร้านสุดท้ายที่เป็นร้านที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวคือร้าน Nha Hang Ngon อยู่ที่พิกัด  10.777409, 106.699714 ซึ่งอยู่ด้านหลังของสภาประชาชนนั่นเอง จุดเด่นของร้านนี้คือตัวร้านเป็นอาคารดั้งเดิมที่เป็นอาคารแบบเฟร้นช์โคโลเนียล บรรยากาศในร้านดีมากๆครับ

40-HoChiMinh-348 41-HoChiMinh-349 42-HoChiMinh-352

 

สำหรับอาหารที่นี่จะมีหลากหลายมาก และที่เด็ดคือที่นี่เขาจะเป็นซุ้มขายอาหาร แบบให้เราไปดูกรรมวิธีในการทำได้เลย สั่งเสร็จเค้าจะเอาเสิร์ฟที่โต๊ะและเก็บเงินเลยครับ

43-HoChiMinh-400

แน่นอนอาหารที่กินกันก็จัดเต็มอีกตามเคยครับ ที่ผมอยากให้ลองทานกันดูคือ ก๋วยเตี๋ยว ไม่ใช่เฝอนะครับ ตัวน้ำซุปเค้าจะใส่ปลาร้าของเวียดนาม แต่ผมลองชิมแล้วไม่มีกลิ่นเลยครับ และน้ำซุปหวานมาก และอีกอย่างที่อร่อยคือ ขนมหวานที่เป็นเหมือนลอดช่องนั่นล่ะครับตัวทีเด็ดเลย

44-HoChiMinh-371 45-HoChiMinh-396

ทั้งหมดนี้ก็เป็นร้านอาหารเวียดนาม 3 ร้าน  3 สไตล์ที่ผมได้มีโอกาสไปลองชิมมาในทริป Somewhere in Time ผมก็แนะนำเพื่อนๆว่าให้ลองไปชิมดูครับ ยอมจ่ายเงินเพิ่มอีกซักนิดแทนที่จะกินแต่เฝออย่างเดียวรับรองว่าคุ้มค่าแน่นอนครับ

 


3 สุดยอดพิพิธภัณฑ์ที่ต้องไปใน “โฮจิมินห์”

ที่โฮจิมินห์ด้วยความที่ได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศสมาอย่างมาก ทำให้ได้รับอิทธิพลเกี่ยวกับเรื่องพิพิธภัณฑ์มาด้วย ทำให้แหล่งท่องเที่ยวในเมืองนี้มีพิพิธภัณฑ์เข้ามาเป็นรายการที่ต้องไปเที่ยว ซึ่งในทริปนี้ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์มา 3 แห่งครับ มีอะไรบ้างมาดูกัน

 

บ้านมังกร พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Museum)

ที่นครโฮจิมินห์นั้นแต่เดิมทีเดียวชื่อว่าเมืองไซง่อน แต่ได้รับการเปลี่ยนเป็นโฮจิมินห์ เพื่อเป็นเกียรติให้กับอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งในการประกาศเอกราชจากการเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส ถึงกับมีการสร้างพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์เพื่อเป็นที่สำหรับศึกษาเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของลุงโฮเลยทีเดียวครับ

สำหรับพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์นั้นตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำไซง่อนและแม่น้ำเบนเหง่ สมัยก่อนอาคารแห่งนี้มีความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการเดินเรือของเวียดนาม ซึ่งการเดินเรือนี้ก็เป็นวิธีที่ลุงโฮได้เดินทางจากเวียดนามไปยังฝรั่งเศสในอดีตเพื่อเป็นการไปหาข้อมูลของประเทศฝรั่งเศส เพื่อนำมาใช้ประกอบในการกอบกู้เอกราชของเวียดนามด้วยครับ (อารมณ์ รู้เขารู้เรารบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้งนั่นล่ะครับ)

46-HoChiMinh-750 47-HoChiMinh-347 48-HoChiMinh-335

ที่พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์แห่งนี้ก็จะมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับลุงโฮครับ แต่ส่วนมากจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการประกาศเอกราชจากการเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสนั่นล่ะครับ ที่นี่มีใบแถลงการณ์ และไมค์ที่ลุงโฮใช้ประกาศเอกราชอยู่ด้วยครับ

49-HoChiMinh-346 50-HoChiMinh-338

 

พิพิธภัณฑ์เมืองโฮจิมินห์ (Museum of HO CHI MINH City)

พิพิธภัณฑ์อีกแห่งที่น่าสนใจในนครโฮจิมินห์ก็คือพิพิธภัณฑ์เมืองโฮจิมินห์ครับ ชื่อคล้ายๆแต่คนล่ะที่กับพิพิธภัณฑ์ลุงโฮนะครับ ที่นี่เป็นอาคารแบบเฟร้นช์โคโลเนียลเช่นกัน ในสมัยก่อนเป็นอาคารที่ใช้ในเรื่องการจัดแสดงสินค้าของเวียดนามก่อนที่จะกลายมาเป็น สถานที่พำนักของข้าหลวงใหญ่แห่งโคชินไชน่า ปัจจุบันที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์เมืองโฮจิมินห์ ซึ่งจะแสดงโบราณวัตถุในสมัยก่อนประวัติศาสตร์และเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับนครไซง่อนในอดีตครับ

51-HoChiMinh-410 52-HoChiMinh-408 53-HoChiMinh-423 54-HoChiMinh-428

 

พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ (Fine Art MUSEUM)

ที่สุดท้ายและเป็นที่ที่ผมประทับใจมากที่สุดในการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ทั้ง 3 แห่ง (ปกติผมเป็นคนไม่ชอบเดินพิพิธภัณฑ์เลยครับ) คือที่นี่ครับ พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตัวอาคารเป็นอาคารเก่าแก่แบบเฟร้นช์โคโลเนียลที่นำมาปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์ และเปิดให้เข้าชมภายในครับ ซึ่งตัวอาคารและสถาปัตยกรรมที่นี่ถือว่าสวยงามมากครับ ที่นี่จะมีอาคารหลักอยู่สองอาคารครับ อาคารแรกอยู่ทางด้านซ้ายสุดหลังจากเข้ารั้วมาจะเป็นอาคารแสดงเกี่ยวกับโบราณวัตถุยุคอาณาจักรจามปาครับ มีทั้งรูปปั้น เซรามิค และงานไม้แกะสลักครับ รูปไม้แกะสลักเค้าว่ากันว่าเป็นรูปไม้แกะสลักที่มีความคล้ายคลึงทรวดทรงของผู้หญิงมากที่สุดครับ

55-HoChiMinh-56158-HoChiMinh-56259-HoChiMinh-593

 

แต่ส่วนที่ผมชอบที่สุดของที่อาคารนี้คือสถาปัตยกรรมภายในครับที่ผมว่ามันสวยงามอ่อนช้อยมากๆ ตัวบันไดเวียนก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นยุโรปได้อย่างดีเลยครับ

56-HoChiMinh-58857-HoChiMinh-590

 

สำหรับอาคารหลักของพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ (FINE ART MUSEUM) จะเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบเดียวกัน สมัยก่อนที่นี่เป็นที่สำเร็จราชการแผ่นดินของผู้ที่มาปกครองโฮจิมินห์ครับ และที่นี่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นอาคารที่หรูหราที่สุดในโฮจิมินห์อีกด้วยครับ

54-HoChiMinh-42861-HoChiMinh-62662-HoChiMinh-633

 

ที่อาคารนี้จะเน้นการจัดแสดงพวกศิลปะสมัยใหม่ทั้งภาพวาด ภาพเขียน และประติมากรรมต่างๆ ส่วนตัวแล้วผมเฉยๆ ไม่อินเลยครับ 555  และที่นี่เค้าจะมีมุมให้เด็กๆมานั่งวาดรูปเล่นด้วยครับ น่ารักดี ผมเห็นมาภาพบางภาพที่เป็นเด็กวาดถูกเอาไปติดแสดงด้วยครับ

64-HoChiMinh-60165-HoChiMinh-646

 

ส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างชอบที่นี่เพราะความสวยงามของสถาปัตยกรรมของอาคารที่นี่ สมแล้วที่ที่นี่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นอาคารที่หรูหราที่สุดในโฮจิมินห์ครับ

66-HoChiMinh-621

 


2 ร้านกาแฟฮิปๆกลางกรุงโฮจิมินห์

หลังจากเดินชมพิพิธภัณฑ์ช่วงบ่ายๆเสร็จแล้ว ในช่วงที่อยู่ที่โฮจิมินห์ 3 วันนั้น ผมมีโอกาสแวะไปชิมกาแฟมา 2 ร้านครับคือร้าน Workshop และร้าน M2C Cafe ครับ

สำหรับร้าน Workshop เป็นร้านที่กิ๋บเก๋ร้านหนึ่งที่นำตึกเก่าแบบดั้งเดิมที่ตัวอาคารในปัจจุบันยังคงสภาพเดิมแบบดิบๆอยู่มาเป็นร้านกาแฟครับ

68-HoChiMinh-142
69-HoChiMinh-144
70-HoChiMinh-184

ร้านนี้จะเป็นร้านที่ขึ้นชื่อเรื่องกาแฟอราบิก้ามาก โดยที่นี่จะใช้เมล็ดกาแฟที่ได้จากเมืองดาลัค ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่บนที่สูงที่มีอากาศเหมาะกับการปลูกกาแฟอราบิก้าเป็นอย่างดี และที่เด็ดที่สุดของร้านนี้คือนอกจากจะชงกาแฟสดจากเครื่องชงกาแฟแล้ว ที่นี่ยังมีการชงกาแฟอีกหลายแบบครับ ซึ่งเขาจะมีการชงสดๆให้เราชมกันเลยครับ วันที่ผมไปผมได้ชิมกาแฟแบบ V60 และ Syphon ครับ แบบ Syphone นั้นจะมีรสชาติที่เข้มกว่าครับ ซึ่งทั้งสองวิธีนี้จะได้กาแฟสดๆมาเป็นชอตครับสนนราคาจะแพงกว่าทำจากเครื่องชงกาแฟประมาณ 2$ ครับ

71-HoChiMinh-162 72-HoChiMinh-182

 

ส่วนร้านที่สองที่ผมได้ไปนั่งจิบกาแฟยามบ่ายคือร้าน M2C Cafe ร้านนี้เป็นร้านที่เอาอาคารใหม่ มาพยายามตกแต่งให้ดูเป็นอาคารเก่าๆ โดยตกแต่งแบบผสมผสานความสมัยใหม่เข้าไป ซึ่งบรรยากาศก็ใช้ได้เลย แต่ส่วนตัวผมชอบร้าน Workshop มากกว่าด้วยสถานที่และแสงไฟ ผมว่าไปนั่งเล่นนั่งทำงานอ่านหนังสือได้ชิวกว่าครับ

73-HoChiMinh-437 74-HoChiMinh-447

ที่ M2C Cafe เองก็มีสาธิตการชงกาแฟเช่นกัน แต่จุดเด่นของที่นี่จะเป็นการชงกาแฟในรูปแบบเวียดนาม ซึ่งต่างจากร้าน Workshop ที่เป็นกาแฟในรูปแบบตะวันตก ที่นี่ผมได้ลองชิมขนมดูด้วย ผมว่าเค้กของเขาเฉยๆครับ แตที่อร่อยคือขนมต้มครับ

75-HoChiMinh-445 76-HoChiMinh-440

 


ชมศิลปะประจำชาติเวียดนาม “หุ่นกระบอกน้ำ”

ช่วงเย็นของคืนวันที่สองผมได้มีโอกาสไปชมการแสดงประจำชาติของเวียดนามมา นั่นคือการแสดงหุ่นกระบอกน้ำ หรือที่เรียกว่า Water Puppet Show ซึ่งครั้งนี้นกแอร์ได้พาผมไปที่โรงละคร  The Golden Dragon Water Puppet Theater ซึ่งก็อยู่ใกล้ๆแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆในเขต 1 นั่นล่ะครับ

77-HoChiMinh-458

การแสดงจะเป็นมีคนเล่นดนตรีและพากษ์เสียง พร้อมกับมีการเชิดหุ่นกระบอกในน้ำ ซึ่งการแสดงจะมีทั้งหมด 17 ชุดเป็นการเล่าเรื่องวิถีชีวิตของชาวเวียดนามและพูดถึงสัตว์มงคล 4 อย่างคือ มังกร เต่า ยูนิคอร์น และ นกฟีนิกส์ ที่นี่เขาห้ามตั้งกล้องถ่ายวิดีโอนะครับ (เค้าคงกลัวพวกหนังซูม 555) จริงๆแล้วไกด์บอกมาด้วยว่าเค้าห้ามถ่ายรูปด้วยเหมือนกัน แต่วันที่ไปผู้ชมในโรงละคนทุกคนก็ล้วนถ่ายรูปครับ ผมเลยถ่ายมาด้วย

ปล. ผมเห็นมีคนโหลดวิดีโอการแสดงแบบเต็มไว้ใน Youtube ด้วย 555

78-HoChiMinh-461 79-HoChiMinh-464 80-HoChiMinh-504

 


ชิมอาหารฝรั่งเศสต้นตำรับที่ร้าน The Refinery

คืนสุดท้ายของการเดินทางนกแอร์ได้พาผมไปชิมอาหารแบบฝรั่งเศสแท้ๆที่ร้านอาหาร The Refinery  ซึ่งตั้งอยู่ที่พิกัด 10.777968, 106.703853 หรืออยู่ห่างจาก Opera House เพียง 100 เมตรครับ

81-HoChiMinh-511 82-HoChiMinh-512

อาหารนั้นก็ถูกจัดมาเป็นคอร์สตามสไตล์อาหารตะวันตก ของผมเริ่มจาก Frisee aux Lardons และตามด้วย Main Course เป็นเนื้อ Rib-Eye ย่างครับ และตบท้ายของหวานเป็น The Refinery Frozen Cheesecake ครับ มื้อนี้อร่อยมว๊ากกกกกกกก

83-HoChiMinh-518 84-HoChiMinh-531

และก่อนจบมื้อนี้ นกแอร์ ได้มีการเซอร์ไพรส์ผมด้วยเค้กวันเกิด เพราะเดือนนี้เป็นเดือนเกิดของผมพอดี นกแอร์ เลยจัดเซอร์ไพรส์ให้ผมกับเพื่อนๆที่เกิดในเดือนนี้รวม 6 คนครับ ต้องขอขอบคุณนกแอร์มา ณ ที่นี้จริงๆครับ

85-

 


บ๊ายบายเวียดนาม บ๊ายบายโฮจิมินห์ จนกว่าจะได้พบกันใหม่

ทั้งหมดนี้ก็เป็นที่ที่ผมได้ไปเที่ยวมาในช่วงเวลา 3 วัน 2 คืนที่นครโฮจิมินห์กับทริป Somewhere in Time ผมต้องขอขอบคุณ นกแอร์ ได้จัดทริปดีๆ ที่ได้พาคณะสื่อมวลชนมาสัมผัสนครโฮจิมินห์กัน สำหรับวันกลับผมนั่งเครื่องไฟลท์ DD3219 ซึ่งกลับจากโฮจิมินห์ตอน 20:45 มาถึงดอนเมืองตอน 22:20 อย่างตรงเวลาเลยครับ

86-HoChiMinh-768 87-HoChiMinh-773

 

ส่วนตัวแล้วนครโฮจิมินห์มีอะไรมากกว่าที่ผมคิดไว้ตอนแรกเยอะมาก และด้วยความที่นครแห่งนี้เคยเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศสมาก่อนทำให้เมืองแห่งนี้มีกลิ่นอายของทางตะวันตกอยู่มาก ซึ่งสำหรับคนที่ชอบท่องเที่ยวและถ่ายภาพเมืองแนวสถาปัตยกรรมแบบผม ผมว่ามันมีอะไรให้ค้นหามากทีเดียวครับ

นอกจากนั้นที่ใกล้ๆนครโฮจิมินห์ยังมีที่เที่ยวอื่นๆอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นดาลัค หรือทะเลทรายมุยเน่ ที่เพื่อนๆผมอยู่ต่อแล้วไปเที่ยวกัน ซึ่งน่าเสียดายที่ครั้งนี้ผมติดธุระในวันรุ่งขึ้นเลยไม่มีเวลาที่จะไปกับเพื่อนๆ ดังนั้นแล้วสำหรับผมคงจะได้มีโอกาสกลับมาเยือนนครโฮจิมินห์แห่งนี้อีกครั้งเป็นแน่ครับ และยิ่งตั้งแต่ธันวาคม 2558 เป็นต้นไปนกแอร์จะมีตารางบิน ดอนเมือง – โฮจิมินห์ถึงวันละ 2 เที่ยวเช้าเย็น ซึ่งมันสะดวกมากๆในการเดินทางมาเที่ยวครับ

ไว้เร็วๆนี้ผมจะกลับมาเยือนที่นี่อีกครั้งแน่นอน สำหรับวันนี้ก็ขอจบทริป Somewhere in Time ไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณที่ติดตามกันด้วยดีเสมอมา สวัสดีครับ


 

0

 likes / One comment
Share this post:

Archives

> <
Jan Feb Mar Apr May Jun Jul Aug Sep Oct Nov Dec
Jan Feb Mar Apr May Jun Jul Aug Sep Oct Nov Dec
Jan Feb Mar Apr May Jun Jul Aug Sep Oct Nov Dec
Jan Feb Mar Apr May Jun Jul Aug Sep Oct Nov Dec
Jan Feb Mar Apr May Jun Jul Aug Sep Oct Nov Dec
Jan Feb Mar Apr May Jun Jul Aug Sep Oct Nov Dec
Jan Feb Mar Apr May Jun Jul Aug Sep Oct Nov Dec