Jun-2016
อาชีพนักท่องเที่ยว 6 ปี 10 ล้านบาท ทำจริง ได้จริง ไม่ต้องไปหลอกใคร
อาชีพนักท่องเที่ยว 6 ปี 10 ล้านบาท
เที่ยวเอง จ่ายเอง ขายเอง ทำจริง ได้จริง ไม่ต้องไปหลอกใคร
หลังจาก 6 ปีที่แล้วผมได้มีโอกาสแชทกับพี่คะน้าจาก Pixpros.net ได้รับรู้ถึงธุรกิจ Stock Photography ซึ่งหลังจากได้ศึกษาแล้วพบว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ จากวันนั้นจนวันนี้ ผ่านมาแล้ว 6 ปี จากงานที่ตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้ว่าจะโตได้ขนาดไหน แต่วันนี้งานนั้นและงานที่เกี่ยวเนื่องทำเงินให้ผมไปร่วม 10 ล้านบาท แล้ว
อ่ะๆ อย่าพึ่งมโนไปไกล สิ่งที่ผมทำที่บอกว่าเป็น “นักท่องเที่ยว” ไม่ใช่ธุรกิจ MLM ที่ให้ไปถือป้ายบ้าบอตามสถานที่ท่องเที่ยว และไปหลอกชาวบ้านมาเข้าคลับบ้าบอที่ต้องจ่ายเงินต่อปีหลายๆหมื่น เพื่อเอาไปเลี้ยงบรรดาหัวที่อยู่เหนือเราไป เป็นงานที่ไม่ถูกกฎหมายในหลายๆประเทศ แต่อาชีพนักท่องเที่ยวที่ผมจะพูดถึงในวันนี้ คือ ผมเดินทางท่องเที่ยวจริงๆ วางแผนเอง เดินทางเอง จ่ายเงินเอง และหาเงินจากการเดินทางนั้นๆด้วยตัวเอง ไม่ต้องหลอกใครมาสมัครอะไรให้วุ่นวายทั้งนั้น อาชีพนักท่องเที่ยวที่ผมพูดถึงคืออะไรเรามาดูไปด้วยกันครับ
อาชีพ “นักท่องเที่ยว” คืออะไรทำอะไรถึงได้เงิน ??
อาชีพ “นักท่องเที่ยว” ที่ผมพูดถึงคือ ตัวผมเองหาเงินจากการเดินทางท่องเที่ยวและงานที่เกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งสิ่งที่ผมทำคือ การถ่ายภาพสต๊อก และ ถ่ายวิดิโอสต๊อกเพื่อนำไปขายในเว็บสต๊อกเอเยนซี่ชื่อดังทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Shutterstock , Fotolia , iStockphoto , 123RF , Dreamstime และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งส่วนตัวแล้วผมเองได้ส่งงานกับเอเยนซี่ไปเกือบ 30 เว็บไซต์ใน 6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถามว่าเว็บไหนดีเว็บไหนไม่ดีผมเคยทำสรุปไว้แล้วที่นี่ สัดส่วนรายได้งาน “สต๊อก” แยกตาม AGENCY ปี 2015 สามารถไปตามอ่านย้อนหลังได้ มีบางเว็บได้ปิดตัวหรือควบรวมกิจการกับเว็บอื่นๆไป ซึ่งก็เป็นไปตามกลไกของตลาดไม่ได้เป็นประเด็นที่น่าวิตกอะไร
นอกจากการขาย ภาพสต๊อก และ วิดีโอสต๊อกแล้ว ตัวผมเองยังทำงานอื่นๆที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวไปด้วยนั่นคือการเป็น Travel Blogger ซึ่งงานในด้านนี้มีหลากหลายมากไม่ว่าจะเป็น
- การรีวิวที่พัก
- การรีวิวสถานที่ท่องเที่ยว
- การทำบทความท่องเที่ยวต่างๆ
- ทำเว็บไซต์ www.travelPlanetX.com
- ทำ Fan Page Travel Planet Xperiences
ซึ่งงานต่างๆเหล่านี้มีทั้งที่ได้เป็นตัวเงิน และไม่ได้เป็นตัวเงิน โดยงานที่ไม่ได้เป็นตัวเงินนั้น ส่วนมากแล้วผมจะได้รับเชิญไปท่องเที่ยวในฐานะสื่อซึ่งทำให้ผมสามารถเดินทางท่องเที่ยวฟรี และรูป/วิดีโอที่ได้จากงานเหล่านั้นก็สามารถนำมาส่งขายเป็นสต๊อกได้อีกทอดหนึ่งด้วยนั่นเอง ส่วนการทำเว็บไซต์และแฟนเพจนั้น นอกจากจะเป็นช่องทางในการโปรโมตงานรีวิวต่างๆแล้ว ยังสามารถนำไปต่อยอดในการทำ Affiliate ได้ด้วย ถ้างงว่า Affiliate คืออะไร มันคือการแนะนำสินค้าให้ผู้สนใจ ซึ่งถ้าผู้ที่สนใจมีการตามเข้าไปซื้อสินค้านั้นๆเราก็จะได้ค่าคอมมิชชั่นออกมา ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็พวกแฟนเพจตั๋วโปรทั้งหลายนั่นล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็น เพื่อนบอกโปร ติดโปร ที่คอยเอาตั๋วราคาถูกมาโพส ซึ่งถ้าเราเข้าไปจองเว็บพวกนี้ก็จะได้ค่าคอมอะไรแบบนั้นนั่นล่ะครับ ส่วนอาแปะผมเข้าใจว่าไม่ได้ทำตรงนี้นะ ซึ่งส่วนที่ผมทำคือผมเน้นงานจองโรงแรมเป็นหลัก โดยต่อยอดจากงานรีวิวของผมไม่ว่าจะเป็น expedia.co.th booking.com และ Agoda.com
และงานสุดท้ายที่ผมทำคืองานเขียน ไม่ว่าจะเป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือ On Camera ในหัวข้อ On stock photo รวมไปถึงรับเขียนบทความท่องเที่ยวตามนิตยสารต่างๆ เขียนหนังสือท่องเที่ยว รวมไปถึงเป็นวิทยากรรับเชิญในบางครั้งด้วยนั่นเอง
ดังนั้นสรุปงาน 3 อย่างที่รวมเป็นอาชีพนักท่องเที่ยวของผมคือ
- Stock Photography / Videography
- Travel Blogger
- Columnist / Writer / Speaker
แล้วรับเงินอย่างไร โดยทั่วไปการรับเงินจากการทำสต็อกจะมีอยู่ 2 ทางหลักๆคือ Paypal และ Payoneer นั่นเอง ซึ่ง ณ ปัจจุบันสำหรับผู้เริ่มต้น Payoneer ถือเป็นช่องทางที่ทำให้ได้รับเรทเงินที่ดีที่สุด
สัดส่วนรายได้จาก 3 งานเป็นอย่างไร
สำหรับตัวผมเองแล้วผมโตมาจากงาน Stock Photography / Videography ดังนั้นรายได้ส่วนใหญ่จึงมาจากด้านนี้ นับจนถึง 4 มิถุนายน 2559 (วันครบรอบ 6 ปีในการทำสต๊อกนักท่องเที่ยว) ผมมีรายได้จากงานสต๊อกไปแล้วทั้งสิ้นราวๆ $268,500 อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันนั้นคิดกลมๆที่ 35 คิดเป็่นเงินไทยราวๆ 9,400,000 บาท
รวมกับรายได้จากงาน Travel Blogger 430,000 บาท และงานเขียน 190,000 บาท รวมๆแล้วก็เกิน 10,000,000 บาทแล้วจ้า
ซึ่งเอามาคิดเป็นสัดส่วนคร่าวๆให้เห็นภาพก็ราวๆนี้ครับ
ซึ่งตรงนี้ก็บอกได้ว่า แต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนผม เพราะแต่ละคนมีจุดเด่นจุดแข็งที่แตกต่างกันไป อย่างเพื่อนผมบางคนโตมาจากการเป็นนักเขียนก็จะมีสัดส่วนรายได้จากการเป็นนักเขียนที่มากกว่าอะไรแบบนั้น สำหรับสัดส่วนรายได้ของงานสต๊อกของผมก็เป็นไปตามนี้ครับ
ภาพ 7,000 ภาพส่ง 30 เอเยนซี่ ขายมา 6 ปีทำรายได้ 46.86% หรือราว 4.4 ล้านบาท
วิดีโอ 3,800 คลิปส่ง IS ที่เดียวขายมา 4 ปีครึ่งทำรายได้ไป 53.14% หรือราว 5 ล้านบาท
แต่ถ้าดูเฉพาะรูปภาพแบ่งตามเอเยนซี่ก็ราวๆนี้
เอาไว้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจในการเลือกส่งล่ะกันครับ
ผมเอาตัวอย่างพอร์ตงานรูป/VDO ให้ดูตามนี้ครับ
95% เป็นรูป/วิดีโอที่ได้จากการเดินทางเป็น นักท่องเที่ยว นั่นเอง
ปัจจุบันงานด้านสต๊อกของผมค่อนข้างอยู่ตัวผมเองก็เริ่มขยับขยายงานมาในด้านที่สองด้านที่สามนั่นก็คืองาน Travel Blogger และงาน Writer มากขึ้นเพราะเป็นงานที่สามารถส่งเสริมกลับไปที่งานหลักคืองานสต๊อกได้นั่นเอง
การได้รู้จักอาชีพนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมเติมเต็มความฝันในวัยเด็ก ที่เคยหลงเสน่ห์ความงามของโลกสีฟ้าใบนี้ จนค่อยๆเก็บเงินเพื่อออกเดินทางไปเก็บภาพสวยๆมาเสมอ ซึ่งในสมัยก่อนผมเองก็มักจะนำภาพเรื่องราวมาแบ่งปันกันตามเว็บบอร์ดต่างๆเช่น Pantip.com ในฐานะ Blogger แต่พูดเลยว่าในสมัย 10 ปีที่แล้วที่ผมมารีวิว คือมารีวิวจริงๆ งานด้าน Blogger ในสมัยนั้นพูดได้เลยว่าไม่มี ปีหนึ่งๆจะมีงานจาก ททท. มาซัก 1-2 งานเท่านั้น ซึ่งผมก็มองว่า อาชีพนักท่องเที่ยว ในสมัยนั้นคงยากที่จะทำให้เป็นจริงได้ นอกจากจะไปทำงานในสาย Travel Documentary เช่นพวก National Geographic อะไรแบบนั้น
จนกระทั่ง 6 ปีที่แล้วเมื่อผมได้รู้จักธุรกิจสต๊อก เพียงแค่เดือนแรกผมรู็แล้วว่าผมสามารถเติมเต็มความฝันในวัยเด็กได้อย่างแน่นอน 4 เดือนแรกผมมีรายได้จากสต๊อกมากพอที่จะผ่อนกล้อง Full Frame ตัวแรกในชีวิต (Canon 5D Mk-ii) และเมื่อทำได้ประมาณ 2 ปีรายได้จากงานสต๊อกก็พุ่งแรงแซงเงินเดือนประจำที่ผมรับราวๆเดือนละครึ่งแสนไปเป็นที่เรียบร้อย
จนกระทั่งปลายปี 2013 ผมได้ตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิต ลาออกจากงานประจำ เพื่อมาทำตามความฝันกับอาชีพ “นักท่องเที่ยว” อย่างเต็มตัวดังที่ผมเคยโพสกระทู้ไปบ้างแล้วในกระทู้นี้ 2 ปีอาชีพ “นักท่องเที่ยว” 39 ทริป 300 วัน 22 ประเทศ 160 เมือง
ส่วนงาน Blogger นั้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงที่ผมหันหลังให้กับงานด้านนี้เพราะมาเอาดีทางด้านงานสต๊อก ก็เริ่มเป็นช่วงที่บูมขึ้นมา เพราะกระแสของ Social Network ทำให้ฝ่ายการตลาดของบริษัทต่างๆ เริ่มเทงบประมาณมาทางด้านนี้ ซึ่งหลังจากผมได้เป็นนักท่องเที่ยวเต็มตัว ผมจึงเริ่มมีเวลาที่มากขึ้น มากพอที่จะเริ่มกลับมาทำงานในมุมของ Blogger มากขึ้นนั่นเอง ซึ่งผมจะเน้นรับงานที่ส่งเสิรมงานสต๊อกผมเป็นหลัก
ประจวบกับหลังจากผมประสบความสำเร็จในงานสต๊อก จึงได้มีโอกาสร่วมงานกับเอเยนซี่ระดับโลกอย่าง 123RF และต่อยอดจนได้มีโอกาสเป็น Speaker ทางด้านนี้ไปโดยปริยาย รวมถึงได้มีโอกาสแบ่งปันประสบการณ์ความรู้ในงานสต๊อกผ่านคอลัมภ์ On Stock Photo ในแมกกาซีน On Camera อีกด้วย
อยากทำอาชีพนักท่องเที่ยวต้องเริ่มอย่างไร
เป็นคำถามที่ถามง่ายแต่ตอบยาก เพราะเอาจริงๆผมไม่ได้บอกว่าคนจะทำอาชีพนักท่องเที่ยวต้องทำสต๊อก แต่การที่จะพูดว่านักท่องเที่ยวเป็นอาชีพได้ นั้่นแปลว่าคุณต้องสามารถแปลงการเดินทางท่องเที่ยวให้เป็นตัวเงินอันจะเลี้ยงชีวิตของคุณได้นั่นเอง บางคนอาจจะเน้นงานนักเขียน บางคนอาจจะเป็น Blogger บางคนอาจจะเป็น Youtuber อะไรแบบนี้
สำหรับผมในปัจจุบันสิ่งที่ทำให้ผมทำให้คำว่านักท่องเที่ยวเป็นอาชีพได้ก็คือการทำ Stock Photography and Stock Videography นั่นเอง ซึ่งผมเองที่ถือว่าเปิดตัว Public ระดับหนึ่งจึงได้รับคำถามพื้นฐานที่น่าสนใจมามากมาย ผมเลยขอรวบรวมไว้ให้ตรงนี้ครับ
เริ่มหาข้อมูลจากที่ไหนดี
ปัจจุบันข้อมูลด้านสต๊อกสามารถหาได้อย่างมากมาย เว็บไซต์ภาษาไทยที่เป็นศูนย์รวมที่ใหญ่ที่สุดก็คือเว็บ Stock Photo Thailand ของอ.สุระ และเว็บ Photo make me rich ของ อ.คนึง หรือถ้าอยากจะอินเทรนด์ใช้เป็น Social Network อย่าง Facebook group ปัจจุบันมีกรุ๊ปเกิดขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ด แต่กรุ๊ปใหญ่ๆที่ผมว่ามีโอเคก็ตามนี้เลยครับ
- Stockphoto club
- ThaiMicroStocker
- Shutterstock Thailand Contributors
- VDO Stocker
- Landscape Stocker
- แหล่งความรู้สต๊อกโฟโต้
ส่วนกรุ๊ปอื่นๆให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านข้อมูลให้ดีเพราะมีหลายกลุ่มที่ตั้งขึ้นมาเพื่อหลอกฟันค่าสัมมนาเช่นกัน
ต้องถ่ายรูปเก่งก่อนใช้มั๊ย ??
การถ่ายเก่ง แน่นอนเป็นข้อได้เปรียบ แต่ไม่มีความจำเป็น ตัวผมเองเริ่มส่งสต๊อกครั้งแรกมีประสบการณ์การถ่ายรูปมาเพียง 2 ปี และวันแรกที่เริ่มถ่ายวิดีโอขาย ผมไม่เคยถ่ายวิดีโอมาก่อนเลยในชีวิตนี้ แต่ปัจจุบันรายได้จากงาน วิดีโอสต๊อก ถือเป็นรายได้หลักของผมไปแล้ว
ดังนั้นขอแค่มีความตั้งใจจริงที่จะทำ ตั้งใจที่จะพัฒนาตนเอง ขยัน อดทน หมกมุ่นอย่างบ้าคลั่ง ผมเชื่อว่าสามารถประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ได้แน่นอน
ผมขอยกตัวอย่างพอร์ตของรุ่นน้องผมคนหนึ่ง เริ่มสร้างพอร์ตตั้งแต่ปี 2012 หรือ 4 ปีที่แล้ว เริ่มโดยที่ไม่เคยจับกล้องมาก่อนเลยในชีวิตนี้ เป็นคนที่แต่งรูปเองไม่เป็น เน้นซื้อพวก Preset มาใช้ในการแต่งภาพ ใช้เวลา 4 ปีสามารถสร้างงานได้มากกว่า 200,000 ชิ้นรายได้ในการขายภาพแซงผมไปไกล เห็นมั๊ยครับว่า คนที่เริ่มจากศูนย์ก็สามารถทำงานประเภทนี้ได้เช่นกัน
หรือพอร์ตเพื่อนผมอีกคนหนึ่ง คนนี้เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ปัตตานี ชอบเที่ยวและออกทริปกับผมบ่อยๆ ถ่ายรูปไม่เก่ง แต่งรูปไม่เป็น (ออกแนวขี้เกียจ) แต่ใช้เงินในการทำงาน ในการจ้างคนมาแต่งรูปและ Retouch รูปให้โดยที่ตัวเองนั่งคุมอย่างเดียวคอยให้โจทย์ว่าต้องการอะไร สามารถทำได้เช่นกัน
จำเป็นต้องในกล้องเทพๆมั๊ย
กล้องที่ดีที่เทพที่แพงย่อมให้คุณภาพภาพที่ดีขึ้น แต่ไม่จำเป็นมากขนาดนั้น เพราะรูปที่ทำเงินมากที่สุดของผมถ่ายจากกล้อง Canon EOS 400D กล้องคุณปู่สมัย 9 ปีที่แล้ว ซึ่งกล้อง Compact ในปัจจุบันยังน่าจะถ่ายได้ดีกว่าเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น อย่าเอาเรื่องอุปกรณ์มาเป็นข้ออ้างในการเริ่มต้น
หรืออย่างวิดีโอที่ขายดีที่สุดของผมเป็น Time-lapse ที่ถ่ายจากกล้อง Nikon 1 J1
ขายได้รูปละ 10 บาทพอกินเหรอคุ้มเหรอ ???
เป็นคำถามที่ถามกันทุกคนที่ได้ยินราคาขายต่อภาพ แน่นอนแม้ว่าราคาต่อภาพจะต่ำ แต่เมื่อภาพหนึ่งภาพออนไลน์แล้วจะขายได้ไปตลอดชีวิตโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว และที่สำคัญลูกค้าเรามาจากทั่วโลก ซึ่งมีปริมาณที่มหาศาลกว่าที่เราคิดกันไว้มาก ซึ่งรูปข้างบนน่าจะตอบอะไรได้หลายอย่าง รูป 1 รูปขายมาราวๆ 4 ปีครึ่งเฉพาะที่ SS ขายไป 3,684 โหลด ทำเงินไป 3,039.78 หรือ ราวๆ 100,000 บาทเรียกว่ารูปเดียวได้ค่าทริปทั้งริปคืนมาแล้ว
ภาพข้างล่างเป็นตัวอย่างทริปที่ผมเดินทางและนำรูปกลับมาขาย อันนี้เฉพาะที่ SS ที่เดียวนะครับ
ทริปยุโรปครั้งแรก ไปตั้งแต่ปี 2010 ค่าเที่ยว 90,000 บาทขายมา 5 ปีทำเงินไปเกือบ 420,000 บาท
ทริป Scandinavia ปลายปี 2012 ไปมาพร้อมกันต้นทุน 100,000 บาท 3 ปีครึ่งทำเงินไป 100,000 บาท
ทริปอังกฤษ ไปปี 2012 ต้นทุน 55,000 บาทผ่านมา 4 ปีทำเงินไปแล้ว 212,000 บาท
ทริปอเมริกา ไปปี 2014 ต้นทุน 90,000 บาท ประมาณ 2 ปีทำเงินไปแล้วราวๆ 112,000 บาท
ทริปยุโรปตะวันตก ไปปี 2014 ต้นทุน 100,000 บาท ประมาณ 2 ปีทำเงินไปแล้วราวๆ 73,500 บาท
อย่าลืมนะครับนี่เป็นรายได้จาก SS ที่เดียวเท่านั้น ยังไม่รวมงานวิดีโอ ซึ่งถ้ารวมก็คูณ 3 จากนี้ได้เลย
และที่สำคัญภาพและวิดีโอเหล่านี้จะขายไปอีกนานเท่านานจนกว่าผมจะลบมันออกไปเอง
เห็นแล้วใช่มั๊ยครับว่าไอ้รูปละ 10 บาทก็ทำให้เรารวยได้
เริ่มตอนนี้ช้าเกินไปแล้วใช่มั๊ย
คำถามที่มีคนถามมาตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา และชอบพูดว่าผมเริ่มทำเร็วได้เปรียบมาเริ่มทำตอนนี้ไม่ทันแล้วล่ะมั๊ง… และทุกปีที่มีคนถามคำถามนี้ก็มีคนเริ่มต้นและประสบความสำเร็จตามมาตลอด ดังนั้นอย่ามาถามผมว่าช้าไปหรือยัง เพราะแค่คุณมาถามผม ผมก็บอกได้ว่าคุณช้าไป 10 นาทีล่ะ เพราะแทนที่จะเอา 10 นาทีมาถามผม สู้เริ่มต้นทำไปเลยดีกว่า
เพราะคุณขายรูป ตปท. มันถึงขายดีลองมาขายแต่รูปในประเทศดูซิ
ส่วนหนึ่งก็ถูกครับ เพราะว่าความต้องการรูปในองค์รวมของคนทั้งโลก รูปเมืองที่ฮิตๆ อาทิ ปารีส ลอนดอน ย่อมขายดีกว่ากรุงเทพฯ จริงมั๊ยครับ แต่เอาจริงๆแล้วพอร์ตผมรูปที่ขายดีที่สุดตามจำนวนโหลด กลับเป็นรูปพระอาทิตย์ตกที่จังหวัดตรัง รูปที่ถ่ายที่ประเทศไทยนี่ล่ะ
จริงๆเรื่องการเริ่มต้นนั้นพี่คะน้าเคยเขียนเป็นบทความไว้ บันได 10 ขั้น สู่การเป็นนักขายภาพ Shutterstock ลองไปอ่านดูได้ครับ
ค้นหาจุดอ่อน จุดแข็ง และตัวตนของตัวเอง
งานสต๊อกเป็นงานที่มีความหลากหลายมาก ทุกอย่างสามารถนำมาขายเป็นภาพเป็นวิดีโอสต๊อกได้ ได้ทั้งภาพถ่าย ภาพวาด 3D งานแต่ละประเภทขายดีแตกต่างกันไป ภาพท่องเที่ยวถือเป็นหมวดหนึ่งที่ขายไม่ดี ผมเองเคยพยายามไปถ่ายภาพคน ภาพแนวธุรกิจซึ่งเป็นหมวดขายดี แน่นอนว่ามันพอขายได้แม้งานเราจะคุณภาพไม่ดีเท่าไหร่ แต่เมื่อผมทำไปซักพักหนึ่งผมกลับรู้สึกว่า ผมทำอะไรอยู่ ผมทำแล้วไม่มีความสุข ผมจึงกลับมาทำภาพท่องเที่ยว และเริ่มวิถีชีวิตนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่อีกครั้ง เพราะผมมองว่าผมมีโอกาสในการเดินทาง ผมรักในการท่องเที่ยว ผมเลือกที่จะทำสิ่งที่ตัวเองรัก เพราะเชื่อว่ามันจะทำให้เราทำงานได้เต็มที่และยั่งยืนที่สุด
ในการถ่ายภาพท่องเที่ยวขายนั้น ผมรู้ตัวเองว่าผมไม่ใช่ช่างภาพ เพราะผมไม่ใช่คนที่จะหามุมสวยๆได้เก่งเท่าไหร่ แต่ผมสามารถไปอยู่ในจุดที่นักท่องเที่ยวทั่วไปต้องการไป และนำภาพเหล่านั้นนำเสนอออกมาได้ เรื่องการแต่งภาพผมก็ไม่ใช่เซียนแค่พอใช้เครื่องมือบางอย่างเป็น รู้ว่าเครื่องมือที่เรามีเราจะเอามาเพิ่มความงามให้ภาพเราได้อย่างไร
ดังนั้นผมจึงอยากบอกว่า ความเก่งความถนัดเราไม่ได้มีมาแต่เกิด แต่เราต้องรู็ว่าเราชอบอะไร ถนัดอะไร ทำอะไรได้บ้างในวันนี้ ให้เราพยายามชูสิ่งนั้นขึ้นมาให้เด่นและนำเสนอออกไปเพียงเท่านั้นลูกค้าก็จะรู้แล้วว่างานเราเป็นอย่างไรและมีจุดขายอย่างไร
ประกอบอาชีพนักท่องเที่ยวอย่างมืออาชีพ
พูดว่าอาชีพนักท่องเที่ยวหลายคนอาจจะมองว่าสบาย เที่ยวไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปถ่ายวิดีโอออกมาแล้วเอามาขายก็พอ แต่ในความเป็นจริงทุกอย่างเมื่อเป็นอาชีพมันมีความยากทั้งหมด อย่างปกติแล้วถ้าไปเที่ยวถ่ายรูปเล่นเราจะไม่เครียดว่าวันนั้นวันนี้แดดไม่ดี แสงไม่สวยเพราะเราเน้นมาเที่ยวถ่ายรูปกลับไปขำๆ ขายได้คือกำไร เพราะจุดประสงค์หลักคือการมาเที่ยว
แต่เมื่อวันหนึ่งการเที่ยวได้กลายมาเป็นอาชีพ การเที่ยวคือต้นทุนที่เกิดขึ้น เราต้องขายรูปขายวิดีโอให้ได้มากพอที่เราจะคืนทุนและกำไร ดังนั้นถ้าอากาศไม่ดี ฟ้าเน่า ไม่ได้รูป ก็จบกันจริงมั๊ยครับ
ถามว่าผมมีหลักการอะไรในการทำอาชีพนักท่องเที่ยวบ้าง ???
อย่างแรกคือกฎ 80:20 ว่ากันว่า เวลาขายของจะมีสินค้า 20% ที่ทำยอดขายรวมได้มากถึง 80% ในขณะที่ของอีก 80% จะทำยอดขายได้เพียง 20% เท่านั้น ซึ่งในมุมมองของนักท่องเที่ยวก็เช่นกัน ผมต้องพยายามหาสถานที่ท่องเที่ยว 20% ที่จะสร้างยอดขาย 80% ให้ผมได้เสียก่อน ซึ่งในมุมนักท่องเที่ยวมันก็ง่าย เพราะที่ใดที่เป็นที่ยอดฮิตในการเที่ยวของคนทั่วโลก นั้นคือ 20% ที่ผมเลือกจะไปเก็บภาพมาก่อนนั่นเอง และเมื่อผมเก็บภาพส่วน 20% แล้วผมก็จะไปเก็บภาพอีก 80% ที่เหลือซึ่งจะมาสนับสนุนงานในส่วนหลักของผมให้ยิ่งขายดีมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
อย่างที่สอง วางแผนเรื่องฤดูกาล เนื่องจากภาพท่องเที่ยวนั้น 80% ขึ้นอยู่กับโชคชะตาฟ้าลิขิต ว่าวันไหนจะฟ้าดีฟ้าเน่า ดังนั้นผมจะพยายามเลือกเดินทางไปในฤดูกาลที่อากาศดีในแต่ละภูมิภาค เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องสภาพอากาศไม่เป็นใจนั่นเอง
อย่างที่สาม วางแผนเรื่องการถ่ายภาพ เตรียมมุมที่อยากได้ พร้อมหาข้อมูลเพื่อไว้ให้มากที่สุด ซึ่งในปัจจุบันสามารถหาได้ไม่ยากเช่นการดู Street View ใน Google map เป็นต้นและเตรียมแผนบีในกรณีที่สภาพอากาศวันนั้นๆไปเป็นใจ ซึ่งส่วนมากแล้วผมมักจะหาสถานที่สำคัญๆที่คนพลุกพล่านไปถ่าย Time-lapse
อย่างที่สี่ ควบคุมต้นทุน การเดินทางท่องเที่ยวคือต้นทุนในการได้มาซึ่งภาพและวิดีโอของผม ดังนั้นยิ่งต้นทุนต่ำเท่าไหร่ผมก็คืนทุนและกำไรเร็วเท่านั้น ผมมักจะกำหนดสถานที่ที่จะไปไว้กว้างๆ แล้วรอตั๋วโปรโมชั่นออก แล้วดูว่ามีโปรประเทศอะไรตรงกับที่เราแพลนไว้บ้าง ซึ่งก็ทำให้ผมได้ตั๋วเครื่องบินไปยุโรปในราคาหมื่นกลางๆมาโดยตลอด โดยผมจะตามเพจ 3 เพจคือ อาแปะ ติดโปร และ เพื่อนบอกโปร ที่มักเอาตั๋วโปรราคาถูกๆมาแจ้งเสมอๆ
10 ประเทศห้ามพลาดของอาชีพนักท่องเที่ยว
1. Switzerland สวิสเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติห้ามพลาดอย่างเด็ดขาด เทือกเขาแอลป์คือที่สุดของความงามแห่งขุนเขาในโลกที่ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกใฝ่ฝันถึง แน่นอนว่าตามมาด้วยความต้องการใช้ภาพที่สูงมาก
2. USA (East Side) มหานครแห่งตึกสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะซีกตะวันออกที่มีเมืองใหญ่ๆและใหม่ๆเต็มไปหมด แค่นิวยอร์คและชิคาโกก็กินขาดทุกประเทศในโลกนี้แล้ว ซึ่งภาพเมืองนี่แหละขายดียิ่งนัก ดีกว่าภาพธรรมชาติเป็นไหนๆ
3. Japan มหานครแห่งความรีบเร่งที่มีผู้คนขวักไขว่หมาะเป็นอย่างยิ่งในการถ่าย Time-lapse เป็นทริปที่คืนทุนเร็วและกำไรสูงที่สุดตั้งแต่ผมทำอาชีพนักท่องเที่ยวมา
4. France ฝรั่งเศสแค่มหานครปารีสเมืองเดียวก็มี Landmark ชื่อดังระดับโลกอยู่เต็มไปหมด ทั้งหอไอเฟล พิพิธภัณฑ์ลูฟ โบสถ์นอทเทอร์ดัม ประตูชัย ที่นี่มันคือสวรรค์ของคนถ่ายภาพสต๊อกชัดๆ
5. England อังกฤษคล้ายๆกับฝรั่งเศสที่มีมหานครลอนดอนเป็นตัวชูโรง มี Landmark ระดับโลกอยู่เต็มไปหมดทั้ง บิ๊กเบน ลอนดอนอาย ทาวเวอร์บริดจ์ นอกจากนี้ยังมีถนนและจตุรัสชื่อดังสวยๆอีกหลายแห่งที่สามารถไปถ่าย Time-lapse ได้อย่างไม่มีเบื่อ
6. Singapore ประเทศเล็กๆใกล้บ้านเราอย่างสิงคโปร์เต็มไปด้วยสัญญลักษณ์ทางการเงินในระดับโลกที่ความต้องการภาพสูงไม่แพ้ประเทศใดในโลกนี้ Landmark ก็มีเยอะไม่แพ้ประเทศแถบยุโรปเลยทีเดียว จุดเด่นคือใกล้ไทยค่าเที่ยวถูก คืนทุนเร็ว
7. Hong Kong อีกประเทศในเอเชียที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินอีกแห่งของโลก แน่นอนว่าทำให้ความต้องการภาพ/วิดีโอของที่นี่มีมากเลยทีเดียว เช่นเดียวกับสิงคโปร์ จุดเด่นคือใกล้ไทยค่าเที่ยวถูก คืนทุนเร็ว
8. Italy อีกประเทศในยุโปรที่ติด Top 3 ที่คนทั่วโลกไปเที่ยวมากที่สุดเป็นประเทศที่เต็มไปด้วย Landmark ทางประวัติศาสตร์เฉพาะในโรมก็เต็มไปหมดทั้ง โคลอซเซียม โรมันฟอรั่ม นครวาติกัน เป็นประเทศที่ต้องไปหากทำสต๊อก
9 Scandinavia หากอยากได้ภาพฤดูหนาวแบบสุดขั้ว หิมะขาวโพลน ท่ามกลางธรรมชาติที่บริสุทธ์ที่เป็น Pure Winter Landscape จริงๆต้องที่นี่ Scandinavia ไม่ว่าจะเป็น สวีเดน นอร์เวย์ ฟินแลนด์ โดยเฉพาะทางตอนเหนือล้วนเป็นประเทศที่จะได้พบกับหิมะที่สวยงามมากๆ
10. Thailand ประเทศที่ไม่ควรพลาดในการทำสต๊อกอีกประเทศหนึ่งคือประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของเรา ประเทศไทยนี่เอง ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวในแต่ละปีไม่น้อย โดยเฉพาะทะเลซึ่งถือว่าเป็นสวยติดอันดับของโลก ซึ่งภาพทะเลถือเป็นภาพที่มีการใช้งานในช่วง Summer สูงเลยทีเดียว
ทั้งหมดนี้เป็น 10 ประเทศที่ผมคัดมาให้แล้วว่าหากเป็นนักท่องเที่ยวอาชีพจะต้องไป เพราะไปแล้วคืนทุนได้กำไรโดยง่ายแน่นอน
5 สถานที่สุดประทับใจจากการเป็นนักท่องเที่ยว
1. น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เป็นสถานที่ที่ประทับใจที่สุด เพราะเป็นหนึ่งในแรงผลักดันที่ทำให้ผมเริ่มต้นท่องเที่ยวและถ่ายรูป ความสวยงามและอ่อนช้อยของน้ำตกที่นี่ก็ถือว่าไม่เป็นสองรองใครเลยทีเดียว
2. Kirkjufell, Iceland อีกสถานที่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ เป็นที่แรกที่ผมมีโอกาสได้เห็นแสงเหนือ สิ่งที่ผมไล่ตามมาหลากหลายปี และพลาดมาหลายหน และวันที่เห็นก็เป็นวันที่พิเศษที่สุดกับแสงเหนือที่แรงที่สุดในรอบไม่ต่ำกว่า 20 ปีกับความแรงระดับ KP-9 ซึ่งเกือบจะพลาดไปเพราะติดอยู่ที่ปารีสจากปัญหาเรื่องเครื่องบิน ทำให้เมื่อผมได้เห็นแสงเหนือครั้งแรกในสถานที่สุดพิเศษและในวันที่พิเศษสุด น้ำตาผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวจริงๆ
3. Louvre Museum, France ปารีสเป็นมหานครใหญ่ที่ผู้คนและนักท่องเที่ยวมากมายเต็มไปหมด แต่กลับมีสถานที่หนึ่งที่ผมไปแล้วรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก ที่ปีระมิดของลูฟทำให้อยากนั่งชิวๆชมปีระมิดแห่งนี้ไปเรื่อยๆ โดยอยู่นิ่งๆไม่ทำอะไร เพียงเท่านั้นก็ฟินแล้ว
4. Wembley Stadium, England UK
จริงๆมันควรจะเป็น Anfield, Liverpool เสียมากกว่าแต่ช่วงที่ผมไปอังกฤษผมมีโอกาสได้ไปชมทีมฟุตบอลที่ผมรักที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอย่าง FA. Cup รอบรองชนะเลิศที่ในวันนั้น Liverpool เอาชนะ Everton เพื่อนร่วมเมืองไปได้ 2-1 ที่นี่จึงเป็นสถานที่สุดประทับใจของผมไปโดยปริยาย
5. Mt. Fujian, Japan
อันดับที่ 5 สถานที่ที่ประทับใจที่สุดสำหรับผมคือภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาไฟที่เป็นเอกลักษณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่ผมพยายามหาโอกาสไปทุกครั้งในการไปเที่ยวญี่ปุ่น
Work Hard and Life Balance
จริงๆแล้วไม่ว่าจะอาชีพใด สิ่งที่สำคัญที่สุดถ้าสามารถทำได้คือ Life Balance เพราะจะทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข ไม่เครียด แต่แน่นอนว่าก่อนที่จะทำอย่างนั้นได้ เราต้องทำงานให้หนักแต่ต้นเสียก่อน โดยเฉพาะในมุมมองของการทำสต๊อก ที่เราต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมาเอง ในระยะเริ่มต้นที่พอร์ทยังเล็ก เราต้องขยันผลิตงาน สร้างงานเพื่อให้ลูกค้าติดให้ได้ หมั่นสร้างสต๊อกเก็บเอาไว้ส่งในช่วงที่เราไม่สามารถผลิตงานใหม่ๆได้ ซึ่งถ้าทำอย่างเต็มที่จริงๆ ไม่เกิน 1 ปีก็สามารถมีพอร์ตที่สามารถเลี้ยงชีวิตเราได้อย่างสบายๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรแม้เราจะทำงานหนักขนาดไหนเราจำเป็นต้อง เจียดเวลาเพื่อพักผ่อน ด้วย เช่น อาจจะมีการออกไปช้อปปิ้ง ดูหนัง กินข้าวอร่อยๆ ออกกำลังกาย บ้างเพราะหากเราทำงานทุกวันไม่มีวันหยุดร่างกายของเราจะเครียดโดยไม่รู้ตัว จนทำให้งานที่ผลิตได้คุณภาพลดลงเสียด้วยซ้ำ
และหลังจากนั้นเรา เมื่อทุกอย่างเข้าที่เราจะมีเวลามากขึ้นในการทำอะไรๆ ซึ่งเราสามารถเลือกออกแบบชีวิตของเราได้อย่างสบายๆ อาจจะเพิ่มเวลาในการพักผ่อนมากขึ้น ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าผมเองใช้เวลาในการทำงานที่น้อยลง แต่กลับได้งานที่มากขึ้นเสียด้วยซ้ำ อย่างปัจจุบันผมเลี้ยงลูกทุกวัน มีเวลาทำงานไม่เกิน 2 ชม.ต่อวัน แต่กลับเป็น 2 ชม.ที่มีคุณภาพ ผมสามารถส่งงานได้ไม่น้อยไปกว่าช่วงยังไม่มีลูกเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้น ทำงานให้หนัก และพักผ่อนเสียบ้างให้สมองผ่อนคลายรับรองว่าเราจะสามารถผลิตงานที่ดีมีคุณภาพได้อย่างสบายๆ
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเคล็ดไม่ลับของการประกอบอาชีพนักท่องเที่ยวที่ผมทำอยู่
อาชีพที่ทำให้ผมสามารถไล่ตามความฝันในวัยเด็ก
อาชีพที่ทำให้ผมให้เวลากับครอบครัวได้อย่างเต็มที่
อาชีพที่ทำให้ผมสามารถออกแบบการใช้ชีวิตได้ด้วยตนเอง
อาชีพที่สามารถสร้างรายได้ให้ผมมากกว่า 10 ล้านบาทในระยะเวลาเพียง 6 ปี
หากเพื่อนๆมีข้อสงสัยอะไรอยากถามอะไรทิ้งคำถามไว้ได้นะครับผมจะทยอยมาตอบให้
และใครอยากรู้รายละเอียดเจาะลึกของสิ่งที่ผมทำอยู่
ไม่นานเกินรอผมจะเขียนหนังสือเป็นคัมภีร์สักเล่มแน่นอนครับ